การเรียนรู้
หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนปัญญาประทีป ศิษย์เก่าแต่ละคนได้มุ่งไปสู่รูปแบบของชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย
โรงเรียนปัญญาประทีปหวังให้สิ่งที่พวกเขาพกติดตัวไปสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ตัวของพวกเขาเอง ผู้คนแวดล้อม ไปจนถึงสังคมส่วนรวมด้วย
สิ่งที่แต่ละคนได้รับจากการเรียนรู้ที่ปัญญาประทีปคืออะไรบ้าง มาเรียนรู้ร่วมกันได้ที่นี่เลย
"ผมรู้สึกว่าโอกาสของผมเปิดขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียนปัญญาประทีป ผมเคยเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมโครงการ Southeast Asia Youth Leadership ที่สหรัฐอเมริกา จากการคัดเลือกของสถานทูตสหรัฐอเมริกา ตอนนั้นมีการคัดเด็กมัธยมฯ ปลาย 5 คนในประเทศไทย เดินทางไปพร้อมกับตัวแทนจาก 10 ประเทศในอาเซียน ซึ่งโอกาสครั้งนี้ก็ทำให้ผมกล้าผลักดันตัวเองไปมากขึ้นเรื่อยๆ มองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันผมเรียนอยู่ ปี 4 คณะ Bachelor of Arts and Science in Integrated Innovation (BAScii) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ เป็นคณะที่เรียนด้านนวัตกรรมบูรณาการ ซึ่งกระบวนการเรียนรู้ที่โรงเรียนปัญญาประทีปทำให้เข้าใจพื้นฐานการทำโปรเจกต์อยู่แล้ว ดังนั้นแม้หลักสูตรตอนเรียนมัธยมฯ กับมหาวิทยาลัยจะแตกต่างกัน แต่เราก็รู้ว่าการทำโปรเจกต์ต้องทำอะไรบ้าง แล้วตอนที่ผมเข้า ปี 1 คณะนี้เปิดเป็นปีแรกพอดี จึงอยากท้าทายตัวเองด้วยการสมัครเป็นประธานสโมสร ทำให้ได้ทำงานในสโมสรนิสิตควบคู่กันไปกับการเริ่มทำสตาร์ทอัพมาเรื่อยๆ ครับ"
"ส่วนตัวเป็นคนทำทุกอย่างเต็มที่เลยรู้สึกว่าทำได้หมด แต่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าอยากทำอะไรในอนาคตค่ะ คนทั่วไปอาจจะมองว่าเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วควรต้องรู้แล้วว่าชอบอะไร จึงปรึกษาเรื่องนี้กับพระอาจารย์ชยสาโรและครูหลายท่านว่าเรายังไม่เจอสิ่งที่ชอบ เพื่อนหลายคนเจอแล้วควรทำอย่างไร พระอาจารย์ก็ให้คำตอบว่า เราไม่จำเป็นต้องค้นพบสิ่งที่เราชอบหรืออยากจะทำในช่วงเวลานี้ก็ได้ ชีวิตเรายังสามารถค้นพบอะไรใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา เพราะมีความเปลี่ยนแปลงในทุกช่วงวัย ตอนนี้เราอาจจะชอบธุรกิจ แต่อนาคตเราอาจจะเป็นดีไซเนอร์ก็ได้ ขอให้ระลึกว่าทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ทุกอย่างไม่แน่นอน ไม่ต้องรีบค้นหา จึงรู้สึกขอบคุณมากที่โรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนแต่ละชั้นมีช่วงเวลาปรึกษาพระอาจารย์ชยสาโรที่เป็นที่ปรึกษาของโรงเรียนได้ แล้วท่านก็ให้คำแนะนำที่หลายคนไม่สามารถให้คำแนะนำแบบนี้ได้ สังคมในโรงเรียนปัญญาประทีปเราสื่อสารกันแบบกัลยาณมิตร ที่ทำให้ทุกคนสามารถขอบคุณ ขอโทษ ชื่นชม หรือตักเตือนกันได้ การเข้ามาเรียนที่นี่ยังทำให้รู้สึกว่า เมื่อมีอุปสรรคหรือสิ่งยากๆ เข้ามา จริงๆ ตัวเราเป็นสิ่งเดียวที่เอาชนะมันได้ และจะเอาชนะได้ก็ต่อเมื่อเรามีจิตใจที่เข้มแข็งค่ะ"
"เรื่องการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยทั้งตัวนักเรียนและผู้ปกครองคงจะมีความกังวลกันอยู่แล้ว ส่วนตัวผมมองว่าการเรียนการสอนด้านวิชาการเป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ผมคิดว่าโรงเรียนที่สอนให้เราเรียนเองเป็นสำคัญกว่าโรงเรียนที่อัดความรู้ด้านวิชาการให้เราอย่างเดียว เพราะการที่เราเรียนเป็นแล้ว เราอยู่ที่ไหนก็จะเรียนด้วยตัวเองได้ครับ ที่โรงเรียนปัญญาประทีปมีวิชาที่ส่งผลด้านการตัดสินใจเรียนต่อที่ให้เราได้ไปลองสังเกตการณ์หรือฝึกงานก่อนเลือกสาขาวิชา ทำให้ผมรู้ว่าสนใจเรียนด้านธุรกิจและโปรเจกต์เพื่อสังคม ประกอบกับผมอยากที่จะเรียนรู้ในศาสตร์ที่ค่อนข้างหลากหลาย จึงเลือกเรียนคณะ Bachelor of Arts and Science in Integrated Innovation (BAScii) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตอบโจทย์มากครับ ตอนนี้ผมเรียนอยู่ ปี 3 แล้วเดินทางมาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ Kyushu University จังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ที่ผ่านมาตอนอยู่โรงเรียนประจำทำให้ผมกล้าอยู่คนเดียวมากขึ้น พอมาอยู่ญี่ปุ่นก็ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเพราะเราผ่านตรงนั้นมาแล้ว"
"ตอนเรียน ปี 4 สาขา Global Studies and Social Entrepreneurship ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีโอกาสฝึกงานทำให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้ชอบการทำงานออฟฟิศ หลังจากจบปริญญาตรีก็ยังไม่เจองานที่อยากทำ แต่รู้ว่าตัวเองมีความสนใจเรื่องการทำสีผมมาตั้งแต่เด็ก จึงตัดสินใจสมัครเรียนในสถาบันสอนทำผมค่ะ ในอนาคตอยากเก็บประสบการณ์การทำงานที่ร้าน ฝึกฝีมือก่อนที่จะเปิดร้านเป็นของตัวเอง เรารู้สึกว่าความสุขเป็นหนึ่งในเป้าหมายชีวิตของเรา และมีความสุขกับสิ่งที่เลือก แต่สมัยนี้อดไม่ได้ที่เราจะเห็นความสำเร็จของคนอื่นผ่านโซเชียลมีเดีย ก็มีบ้างที่กลับมาคิดว่า สิ่งที่เราเลือกทำถูกไหม พอทบทวนแล้วก็รู้สึกว่า ถ้ามันกำลังพาเราไปถึงเป้าหมายที่ทำให้ชีวิตมีความสุข และสามารถหากินได้กับอาชีพนี้ เลยรู้สึกว่าไม่ได้ลำบากใจในสิ่งที่ตัวเองเลือกทำตอนนี้ เพราะแต่ละคนก็มีเส้นทางชีวิตต่างกันไป และนี่เป็นเส้นทางหนึ่งของชีวิต การเรียนที่โรงเรียนปัญญาประทีปทำให้เรามีโอกาสได้ค้นหาตัวเอง ทำความรู้จักกับตัวเองผ่านกิจกรรมต่างๆ ทำให้เท่าทันหรือเข้าใจตัวเองได้ว่า ต้องการอะไร เป็นอะไร หรือ อารมณ์แบบไหน และไม่ว่าจะอยู่ในสังคมแบบไหนหรืออยู่ในบทบาทใดก็ยังได้ใช้สิ่งที่ได้รับมาจากโรงเรียนค่ะ"
"ผมสนใจด้านการถ่ายภาพและถ่ายวิดีโอ ซึ่งเส้นทางมันชัดมากๆ ว่าผมชอบทำงานด้านนี้ จึงเริ่มปรึกษาอาจารย์แล้วรับงานถ่ายวิดีโอควบคู่ไปกับการเรียนตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วครับ พอได้เรียนวิชาโตก่อนโตก็ลองไป Job Shadowing ที่ GDH ก่อนที่จะลองไปฝึกงาน Grading Color ที่ Littlebee Lab ช่วงแรกผมรับถ่ายวิดีโอท่องเที่ยวเป็นหลัก พอมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็เริ่มถ่ายงานโฆษณา แฟชั่น และตามเทศกาลต่างๆ ซึ่งถ้าเรียนที่โรงเรียนอื่นคงลาไปทำงานแบบนี้ยากเหมือนกันนะครับ ช่วงนั้นผมเลยเก็บผลงานที่เคยทำมาใช้ยื่นพอร์ตฯ เข้าเรียนได้ที่สาขาวิชาออกแบบนิเทศศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ปัจจุบันเรียนอยู่ ปี 3 แล้วและยังรับงาน Videographer, Content Creator และถ่ายงานโฆษณาอยู่ พอทำงานก็โตขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัดครับ สิ่งที่ได้รับจากโรงเรียนปัญญาประทีปคือ การตรงต่อเวลาและทักษะการพูด เพราะผมเริ่มสนใจภาษาอังกฤษ แล้วเริ่มเรียนเสริมตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมฯ เลยเป็นจุดเด่นที่ทำให้รับงานต่างประเทศได้มากกว่างานในไทย และได้งานแบรนด์ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ"
"โรงเรียนปัญญาประทีปเป็นเหมือนชุมชนขนาดเล็กที่ทำให้เรารู้จักและสนิทกับทุกคน เหมือนเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเป็นห่วงเป็นใยกัน สิ่งที่ชอบคือวิชาศิลปะที่โรงเรียนที่นำมาปรับเข้ากับพระพุทธศาสนา ทำให้เราคิดว่างานของเราควรจะสื่อสารสิ่งที่ดีมีประโยชน์ให้กับคนที่มาดูงานศิลปะของเรา ซึ่งตอนนั้นรู้สึกว่าอยากทำภาพประกอบ (Illustration) หรือ วิจิตรศิลป์ (Fine Art) แล้วพอมาเรียนปรับพื้นฐานที่อังกฤษแล้วพบว่าชอบแอนิเมชันค่ะ เลยตัดสินใจเข้าสาขา Animation ที่ University of the Arts London ซึ่งพอได้เรียนแล้วก็เป็นอย่างที่คิดและรู้สึกว่ามันใช่ เพราะได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ แอนิเมชันมีเสน่ห์ตรงที่มันเป็นการสื่อสารผ่านศิลปะและการเล่าเรื่อง มีสัญลักษณ์และการเปรียบเทียบให้เราต้องคิดและตีความค่ะ ส่วนการใช้ชีวิตที่นอกเหนือจากการเรียนก็รู้สึกว่า การเดินทางมาเรียนต่างประเทศคนเดียวต้องใช้พลังกายและพลังใจในการเอาชีวิตอยู่รอดให้ได้ อีกอย่างคือการพบเจอคนต่างวัฒนธรรมหรือแม้กระทั่งเพื่อนคนไทยที่มีความคิดต่างจากเรา พอเคยผ่านการใช้ชีวิตในโรงเรียนประจำมาก่อน ทำให้มีประสบการณ์ดูแลตัวเองและอยู่คนเดียวได้ และปรับตัวอยู่ร่วมกับคนที่แตกต่างจากเราได้ด้วยค่ะ"
"โรงเรียนปัญญาประทีปเปิดโอกาสให้นักเรียนรู้เส้นทางหรือความถนัดของตัวเองผ่านวิชาบูรณาการที่เรียกว่า วิชาเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เป็นวิชาที่มีประโยชน์มากๆ ค่ะ แต่ละชั้นปีจะมีชื่อของวิชานี้ต่างไป เช่น โตก่อนโต แกะสลักชีวิต สัมมาธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งเราจะได้ประสบการณ์และทักษะที่ไม่ได้เป็นแค่ทักษะในการทำงาน แต่เป็นทักษะที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตได้ตลอดด้วย ผ่านทั้งการทำงานและวิทยากรหรือคนเก่งๆ ที่มาให้ความรู้เยอะมากๆ ค่ะ ช่วงที่รู้ว่าอยากเรียนต่อคณะสถาปัตยกรรม แล้วต้องเรียนเสริมด้านความถนัดเพื่อทำพอร์ตฯ ส่งสมัคร ทางโรงเรียนก็เปิดโอกาสเต็มที่ คุณครูก็ค่อนข้างเปิดรับค่ะ เราคุยกันเหมือนผู้ใหญ่คุยกัน คุยกันด้วยเหตุผล สามารถเสนอหรือวางแผนคาบเรียนกับคุณครูในช่วงที่กำลังเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยได้ รู้สึกประทับใจคุณครูและเพื่อนด้วยค่ะ เพราะเป็นสังคมที่ดีมาก ตอนนี้เข้าเรียนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรได้แล้ว ระหว่างรอเปิดเทอมมีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น จึงอยากแบ่งเวลาไปช่วยคุณแม่ขายของผ่านช่องทางออนไลน์ควบคู่กันไปด้วยค่ะ"
"วิถีชีวิตและวิชาบูรณาการของโรงเรียนค่อยๆ หล่อหลอมและช่วยให้เราค้นหาตัวเองเจอค่ะ ช่วงที่เรียนมัธยมฯ ปลายชอบวิชาภาษาไทยมาก จึงสอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจากโครงการสู่ความเป็นเลิศด้านภาษาและวรรณคดีไทย ที่ให้ทุนสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถปีละ 15 คน ทำให้ได้เรียนคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ วิชาเอกภาษาไทย วิชาโทภาษาอังกฤษ หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเข้าทำงานด้านธุรกิจเพื่อสังคมที่ School of Changemakers ตำแหน่ง Project Coordinator ก่อนที่จะไปทำงานที่ Chula Zero Waste ซึ่งนอกจากตำแหน่ง Project Coordinator ก็ได้ทำ Content Creator ด้วยค่ะ จากนั้นมีโอกาสเข้าไปทำงานที่ Thrive Venture Builder ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านความยั่งยืนและนวัตกรรม ทำคอนเทนต์และดำเนินการเรื่องการจัดการโปรเจกต์ต่างๆ พอทำงานไปเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นคนชอบทำอาหาร และชอบดูสารคดีซีรีส์เกี่ยวกับอาหาร ก็เริ่มสนใจเรื่องความสัมพันธ์ของอาหารกับวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เมื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานมาสักพักแล้ว จึงรู้สึกว่าช่วงนี้เหมาะกับการไปศึกษาต่อ ปัจจุบันกำลังเตรียมศึกษาต่อระดับปริญญาโทสาขา Food Studies อยู่ค่ะ"
"ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ Radisson Hotel Group ค่ะ รู้ตั้งแต่มัธยมฯ ต้น ว่าอยากเรียนการโรงแรม เพราะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของครอบครัว ประกอบกับการที่โรงเรียนปัญญาประทีปสนับสนุนให้ไปฝึกงานตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 3 พอได้ลงมือทำและผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมา ก็ทำให้เราตอบคำถามตัวเองได้ชัดเจนขึ้นว่าสิ่งที่เราคิดว่าชอบ พอได้ทำแล้วชอบจริงๆ หรือไม่ค่ะ จริงๆ ตอนนั้นอยากไปเรียนต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่ครอบครัวอยากให้เรียนที่ไทยก่อน ช่วงมัธยมฯ ปลาย เลยเริ่มหามหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรการโรงแรมที่ดี แล้วสมัครเรียนหลักสูตรนานาชาติ Tourism and Hospitality Management ที่มหาวิทยาลัยมหิดลค่ะ ซึ่งพอเข้าไปเรียนแล้วรู้สึกว่าเป็นพื้นฐานที่ดีของการโรงแรมและมีความสุขกับการเรียนดี หลังจากเรียนจบทำงานก็มีเป้าหมายทั้งตอนนี้และต่อไปว่า อยากสุขง่าย ทุกข์ยาก มีสติปัญญาเสมอ มีชีวิตที่ดีได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ได้เที่ยวเยอะๆ อยู่ในความสงบ ทำงานอย่างมีความสุข เก่งในสิ่งที่ตัวเองทำ และทำให้พ่อแม่ภูมิใจค่ะ"
"ตอนนี้ผมทำงานค่อนข้างหลากหลาย ส่วนงานสอน ผมเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ภาควิชาทฤษฎีดนตรีและการประพันธ์เพลง วิชาที่สอนเรียกว่า โสตทักษะ หรือ Ear Training ซึ่งเป็นวิชาที่ฝึกทักษะที่จำเป็นสำหรับนักดนตรี เช่น การฝึกฟังโน้ตดนตรี ฟังจังหวะ แล้วเขียนลงมาเป็นโน้ตบนกระดาษ โดยผมสอนนักศึกษาปี 1 เป็นหลัก พร้อมกับทำงานประพันธ์และเรียบเรียงดนตรีอิสระควบคู่กันไป เร็วๆ นี้กำลังวางแผนไปศึกษาต่อด้านดนตรีบำบัด Master of Arts in Music Therapy ที่ SRH Heidelberg ประเทศเยอรมนี เป็นหลักสูตรนานาชาติครับ จริงๆ ผมรู้สึกว่ารู้ตัวเร็ว และขอพ่อแม่ว่าอยากเรียนดนตรีตั้งแต่เรียนอยู่มัธยมฯ ต้นแล้วครับ แต่ระหว่างทางอาจจะมีลังเลบ้าง เพราะช่วงมัธยมฯ ชอบวิชาสายวิทย์ด้วย ในวิชาโตก่อนโตผมจึงเลือกไปสังเกตการณ์คนที่ทำอาชีพหมอและนักดนตรี แล้ววิชาแกะสลักชีวิตผมก็ไปติดตามนักดนตรีบำบัด ทำให้เห็นภาพชัดขึ้นแล้วเริ่มวางแผนระยะยาวไปเลยครับ ว่าจะเรียนต่ออะไรและต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ตอนนั้นคุณครูท่านหนึ่งให้คำแนะนำว่า เวลาต้องตัดสินใจอะไรที่สำคัญให้ลองจินตนาการล่วงหน้า เช่น ถ้าเราตัดสินใจแบบนี้อีก 1 ปีข้างหน้า 10 ปีข้างหน้า หรือตอนอายุ 60 ปีแล้วจะรู้สึกอย่างไร แล้วผมลองจินตนาการจากความรู้เท่าที่ผมมีแล้วคิดว่า ผมมองเห็นโอกาสที่เราจะได้ทำในสิ่งที่ชอบจริงๆ หากเลือกเรียนดนตรี และเห็นทางที่เราจะสามารถทำให้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ อันนี้คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เห็นว่า อาชีพของเรายังความหมายและมีเหตุผลให้ทำมันต่อไปครับ"
จากข้อมูลการสัมภาษณ์ศิษย์เก่า เมื่อ ก.ค. 2566